@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร รากบุญ[2] วันที่ 3 ธ.ค. 55

อ่านละคร รากบุญ[2] วันที่ 3 ธ.ค. 55

ขึ้นมา ฉันก็หยุดช่วยน้องชายมัน ปล่อยให้ติดคุกหัวโตก็เท่านั้น”
“อย่าประมาทเจติยาเกินไป ผู้หญิงคนนี้มีอะไรหลายอย่างที่คาดไม่ถึง”
พิสัยยิ้มดูถูก “เอาซิ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงตัวเท่ามดจะเก่งซักแค่ไหน” พิสัยหน้าเครียด “แต่ตอนนี้แกช่วยฉันเรื่องผีพี่จิตก่อนดีกว่า ฉันเห็นจริงๆ ไม่ได้ตาฝาด ตามมาหลอกกันกลางวันแสกๆเลย”
ทันใดนั้นเสียงกดกริ่งห้องก็ดังขึ้น พิสัยผวาเล็กน้อย
ปราณพูดหน้านิ่ง “ตำรวจอยู่หน้าห้อง”
พิสัยหน้าเสีย “เอาไง”
“ไปเปิดประตู ทำตัวปกติ” ปราณแนะนำ

พิสัยลุกเดินไปเปิดประตูห้องพักแง้มๆ จนเห็นนวัชกับตำรวจกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู
นวัชตะเบ๊ะ “สวัสดีครับคุณพิสัย พอดีผมได้พยานบุคคลเพิ่มเติมเลยอยากจะเชิญคุณพิสัยไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยครับ”
พิสัยรำคาญ “พยานอะไรของคุณอีก”
พิสัยยังพูดไม่ทันจบ ตำรวจก็พาตัวลูกน้องพิสัยคนที่หลอกให้นทีส่งยาออกมา
นวัชยิ้มเล็กน้อย “พอจะคุ้นหน้าบ้างมั้ยครับคุณพิสัย”
ลูกน้องพิสัยจ๋อยๆ กลัวๆ พิสัยหน้าซีดเผือดไปทันทีเพราะไม่คิดว่านวัชจะตามหาตัวลูกน้องคนนี้เจอ



พิสัยกำลังเซ็นรับรองการให้ปากคำของตัวเองอยู่ต่อหน้านวัชในโรงพักตอนหัวค่ำ โดยมีทนายของพิสัยยืนอยู่ใกล้ๆ
พิสัยเซ็นชื่อพร้อมบ่นไปด้วย “คนงานลาออกไปตั้งนานแล้ว ใครจะไปนั่งจำหน้าได้หมด ลูกน้องผมตั้งกี่ร้อยกี่พันคน”
นวัชเหล่ๆ มองพิสัยที่พยายามแถเอาตัวรอดไปอีกจนได้ด้วยความรู้สึกเจ็บใจ
“เสร็จเรื่องแล้ว ลูกความของผมกลับได้รึยังครับหมวด” ทนายถาม
นวัชพูดหน้านิ่ง “เชิญครับ แล้วถ้าผมต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติม จะไปเชิญตัวมาอีกนะครับ”
“ฉันไม่ได้มีเวลาว่างมากนักหรอกนะ” พิสัยบอก
ทันใดนั้นเสียงลาภิณก็ดังขึ้น
“เข้ามานอนในคุก เดี๋ยวก็ว่างเองล่ะ”
พิสัยเหล่ไปเห็นลาภิณเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเขม่นๆ
ลาภิณไม่สนใจ เขาหันไปพูดกับนวัช “ผมมาตามเรื่องคดีของคุณแม่น่ะครับหมวด”
“เชิญเลยครับ คดีคืบหน้าไปเยอะแล้ว” นวัชเหล่พิสัย “บางที อาจจะได้ตัวฆาตกรเร็วๆนี้ล่ะครับ”
“ดีครับหมวด” ลาภิณพูดลอยๆ “คนเนรคุณสมควรจะได้รับโทษซะที”
พิสัยทำไม่รู้ไม่ชี้ ลาภิณเดินตามนวัชเข้าไปข้างใน พอทั้งสองคนเดินพ้นไป พิสัยก็เริ่มมีสีหน้ากังวลขึ้นมา

ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดของพิสัยอยู่ในถุงพลาสติกอย่างดีวางอยู่บนโต๊ะกลางโซฟา เจติยาและนิษฐานั่งคุยกันอยู่ที่โซฟาบ้านเจติยา
“ป่านนี้ทำไมพี่หมวดยังไม่มาอีก” เจติยาหยิบโทรศัพท์มือถือมาเช็คดูอีกที
“ไม่ต้องโทรไปล่ะ พี่เค้าทำงานอยู่” นิษฐารีบบอก
“ฉันรู้หรอกย่ะ ฉันเช็คดูเฉยๆว่าพี่เค้าส่งข้อความมารึเปล่า”
“ฉันไม่เชื่อหรอกนะเจ ว่านายพิสัยจะยอมสารภาพง่ายๆ” นิษฐามีสีหน้าชิงชัง
“ใช่ มันหาทางแก้ตัวเอาตัวรอดไปได้อีกแน่ๆ ก็เหลือแต่ไอ้นี่แหละ” เจติยาเหลือบตาไปมองผ้าเช็ดหน้า “จะมัดตัวเอาผิดมันได้”
“เธอก็น่าจะให้พี่หมวดไปเลย” นิษฐาบอก

“ไปตามจับตัวนายพิสัยก่อนเนี่ยนะ หายขึ้นมาล่ะจบข่าวกันเลย กว่าฉันจะได้มานี่ไม่ใช่ง่ายๆ นะ มันระวังตัวซะขนาดนั้น”
“ฉันอยู่รอจนพี่หมวดกลับมาไม่ไหวหรอกนะเจ”
“เออ ไม่เป็นไรหรอก แค่มาส่งก็ขอบใจแล้ว”
“แล้วชุดที่จะให้ฉันยืมล่ะ” นิษฐาถาม
เจติยากระเซ้าด้วยท่าทียิ้มๆ “บอกมาก่อนจะไปดินเนอร์กับพี่หมวดที่ไหน”
นิษฐาไม่สู้ตาแต่ก็ตอบยิ้มๆ “เปล่า ฉันไปงานของมูลนิธิ”
เจติยากระเซ้า “จริงอ้ะ งานมูลนิธิแต่พี่หมวดไปด้วยล่ะสิ”
นิษฐายิ้มเขินๆ “ขึ้นไปเอาชุดมาเร็วๆ เลย” นิษฐาดันเจติยาออกไป
“คืบหน้านะยะ รอเดี๋ยวย่ะ” เจติยาวิ่งขึ้นชั้นบน
นิษฐามองตามเพื่อนแบบยิ้มๆ พอหันกลับมาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นปราณมายืนอยู่ข้างๆ นิษฐาตกใจ รีบหันกลับไปมอง ปราณยิ้มเยือกเย็นให้นิษฐา นิษฐาจะร้อง แต่แล้วจู่ๆ ก็เหมือนต้องมนต์สะกด นิษฐานิ่งค้างไป และร้องไม่ออกแม้แต่คำเดียว

เจติยาเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดสำหรับใส่ออกงานกลางคืนแบบเรียบๆ ออกมา ทันทีที่ปิดประตูตู้เสื้อผ้าเธอก็ร้องลั่นออกมาด้วยความตกใจเพราะชูจิตมายืนหน้าซีดอยู่หลังประตูตู้เสื้อผ้า
“โอ๊ย คุณท่าน เจเกือบช็อคแน่ะค่ะ”
ชูจิตพูดเสียงดัง “รีบลงไปช่วยเพื่อนเธอเร็วๆ”
เจติยางงๆ
ชูจิตตวาดใส่ “รีบลงไปสิ”
เจติยารีบวิ่งออกจากห้องไปทันที

นิษฐาถูกสะกดจิตจนหมดสติพับไปกับโซฟา ปราณค่อยๆ หยิบถุงพลาสติกใส่ผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาดู
ปราณดูถุงในมือแล้วก็ยิ้มพอใจ “มนุษย์นี่ช่างคิดจริงๆ แค่เลือดไม่กี่หยด ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง” ปราณชะงักเพราะรู้สึกได้ว่าถูกจ้องอยู่ ปราณหันขวับไปมอง
ชูจิตกำลังจ้องปราณเขม็งด้วยสายตาดุดัน
ปราณขำเย้ยหยัน “วิญญาณที่มีอำนาจเพราะกล่องรากบุญ เอาชนะฉันไม่ได้หรอก”
“ทำไมต้องช่วยพิสัยด้วย แกต้องการอะไร” ชูจิตถาม
“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบแก” ปราณเบิกตามองชูจิต
ทันใดนั้นดวงตาของปราณก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานคล้ายสีตาของยักษ์บนกล่องรากบุญแล้วก็ส่งพลังทำร้ายชูจิต ชูจิตกลัวจนรีบหายหนีไปทันที ทันใดนั้นเจติยาก็วิ่งลงมาพอดี
เจติยาตกใจที่เห็นปราณ “คุณ”
“เจอกันอีกแล้วนะเจติยา” ปราณชูถุงใส่ผ้าเช็ดหน้าให้ดู
“เอาของฉันคืนมานะ”
ปราณสะแหยะยิ้มแล้วจะเดินออกจากห้อง
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย” เจติยาออกคำสั่ง
ปราณหยุดชะงักตามคำพูดของเจติยาทันที ปราณตกใจและพยายามจะก้าวขาแต่ก็ทำไม่ได้
ปราณเครียดหนัก “นี่เธอมีอำนาจเหนือกล่องรากบุญขนาดนี้แล้วเหรอ”
เจติยาวิ่งเข้าไปแย่งถุงใส่ผ้าเช็ดหน้าทันที ปราณจับถุงไว้ไม่ยอมปล่อย ทั้งคู่เลยยื้อยุดกัน เจติยาปาดมืออีกข้างไปจับมือปราณแล้วหักข้อมือทันใดนั้นก็เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นที่มือของปราณก่อนจะลามมาที่แขน
เจติยาตกใจสุดๆ ที่เห็นไฟลุกท่วมแขนปราณ ปราณแตกกระจายหายไปปล่อยให้ถุงใส่ผ้าเช็ดหน้าซับเลือดตกลงสู่พื้น เจติยางุนงงและหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอรีบหยิบถุงมากำไว้แน่น แล้วเดินไปหานิษฐา
เจติยาพยายามปลุก “ฐา ฐา เป็นอะไรไป”
นิษฐาคลายจากมนต์สะกดตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้างงๆ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอเจ มึนหัวจังเลย” นิษฐาพิงศีรษะพักไปกับโซฟาอีกครั้งแล้วหลับตา
เจติยาถอนใจยาวออกมาด้วยสีหน้าเครียด

ลาภิณ เจติยา และทวีนั่งดื่มกาแฟและคุยเรื่องปราณอยู่ในห้องโถงของบริษัท
ทวีฟังเรื่องราวจากเจติยาด้วยสีหน้าเครียด “ลุงว่านายปราณนี่คงไม่ใช่แค่คนที่อยากได้กล่องรากบุญธรรมดาๆ แล้วล่ะ”
“ใช่ค่ะลุง เค้าเหมือนมีพลังจิตหรือคาถาอาคมอะไรซักอย่าง คนที่เก่งขนาดนี้ทำไมต้องยอมร่วมมือกับนายพิสัยด้วยก็ไม่รู้” เจติยาว่า
“ข้อนั้นฉันไม่แปลกใจหรอก น่าจะมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง” ลาภิณมีสีหน้าติดใจสงสัย “แต่เรื่องที่เธอเล่าว่าเธอจับตัวเค้าแล้วไฟลุกอะไรเนี่ย แน่ใจนะว่าไม่ได้ฝันไป” ลาภิณทำสีหน้าไม่ค่อยเชื่อ
“เวลายังงี้ใครจะเอาความฝันมาเล่าคะ” เจติยาแอบค้อนใส่ลาภิณเล็กๆ “แต่เจก็แปลกใจนะคะว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง”
ทวีมีสีหน้าใช้ความคิด “ลุงก็รู้เรื่องกล่องรากบุญเท่าที่เคยบอกหนูเจนั่นแหละ แต่ถ้านึกอะไรได้มากกว่านี้ ลุงจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน” ทวีถอนใจออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืน “ลุงไปทำงานต่อก่อนดีกว่า” ทวีเดินเลี่ยงไป
ลาภิณมองตามทวีแล้วรีบพูดกับเจติยา “เดี๋ยวเธอเข้างานสายซักสิบห้านาทีได้มั้ย”
“ทำไมเหรอคะ”
“ฉันมีอะไรอยากจะให้เธอดู” ลาภิณยิ้มๆอย่างภูมิใจ
เจติยาสงสัย

เจติยากำลังนั่งอ่านเอกสารรายงานความคืบหน้าของโปรเจ็คอยู่ในห้องทำงานของลาภิณ โดยมีลาภิณนั่งอยู่ใกล้ๆ
เจติยายิ้มดีใจ “ดีใจด้วยนะคะ”
ลาภิณยิ้มพอใจ “โปรเจ็คเราคืบหน้าไปเยอะเกินคาด” ลาภิณยักไหล่เล็กน้อย “ฉันไม่รู้จะอวดความภูมิใจนี้กับใครดี”
เจติยาชำเลืองมองลาภิณก่อนจะรีบตัดบท “ตอนแรกเจยังนึกว่าโปรเจ็คนี้กว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง ก็คงประมาณปีหน้า”
ลาภิณพยักหน้ารับ “เราโชคดีที่หุ้นส่วนทางโน้นเค้าเก่ง งานก็เลยไปเร็ว ก็เหลือแค่รอธนาคารอนุมัติเงินกู้งวดสุดท้าย ปลายปีนี้คงได้เห็นนิราลัยโกอินเตอร์แน่นอน”
เจติยายิ้มชื่นชม “อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลยค่ะ ไม่ใช่แค่หุ้นส่วนเก่งอย่างเดียวหรอก ตอนที่คุณท่านปลดคุณพิสัยออก แล้วให้คุณทำโปรเจ็คนี้แทน ก็ไม่มีใครคิดว่าคุณจะทำได้ดีขนาดนี้ นี่เท่ากับคุณได้พิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็นแล้วนะคะ ว่าคุณทำได้ คุณเป็นคนมีความสามารถ”
ลาภิณมองหน้าเจติยานิ่ง “เธอก็มีส่วนสำคัญกับความสำเร็จครั้งนี้นะ”
เจติยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะปั้นยิ้มแล้วพูดบ่ายเบี่ยง “ฉันก็แค่ช่วยชีวิตคุณเอาไว้ไม่ได้ช่วยคุณทำโปรเจ็คนี้ซะหน่อย”
“ฉันไม่ได้หมายความถึงเรื่องช่วยชีวิต แต่ฉันกำลังจะบอกว่าเธอเป็นแรงผลักดันให้ฉันตะหาก”ลาภิณพูดจริงจัง
เจติยาหลบสายตาไปเล็กน้อย
“ฉันพูดจริงๆนะเจ ฉันเห็นเธอมีปัญหาหนักๆ เยอะแยะท่วมตัวไปหมด ทั้งเรื่องงาน เรื่องที่บ้าน แล้วไหนจะกล่องรากบุญอีก แต่เธอก็ไม่เคยถอย ไม่เคยท้อเลย”
เจติยาสบตากับลาภิณ
ลาภิณมองเจติยาด้วยความชื่นชม “มองเธอ ทำให้ฉันรู้สึกละอายใจ เข้มแข็งสู้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็ไม่ได้ ถ้าฉันยอมแพ้อะไรง่ายๆ ฉันคงไม่กล้าสู้หน้าเธอ”
ลาภิณสบตาเจติยานิ่งก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือจะไปจับมือเจติยาเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ยัง
ไม่ทันจะจับมือเจติยาโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน ลาภิณเลื่อนมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเบอร์แล้วกดรับ เจติยาถอนใจยาวออกมาอย่างโล่งอก
“ครับ คุณศุภชัย” ลาภิณฟังอีกฝ่ายอย่างดีใจแล้วพูดดักคอ “เงินกู้งวดสุดท้ายอนุมัติแล้วเหรอครับ” ลาภิณฟังอีกฝ่ายแล้วก็ตกใจจนหน้าเสีย “ชะลอไปก่อน ทำไมล่ะครับ” ลาภิณลุกเดินไปคุยด้วยสีหน้าเครียด
เจติยาดูสีหน้าลาภิณแล้วก็พลอยกังวลไปด้วย

ลาภิณเดินคุยกับผู้บริหารคนหนึ่งของธนาคารมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ผมขอโทษจริงๆครับ แต่มันเป็นมติที่ประชุมให้ชะลอไปก่อน ทางฝ่ายบริหารคงต้องการทบทวนให้แน่ใจอีกครั้งน่ะครับ”
ลาภิณเครียดหนัก “จะทบทวนอะไรอีกครับ ทางแบงค์อนุมัติไปสองงวดจนโปรเจ็คผมเดินหน้าไปตั้งเยอะแล้ว มาชะลองวดสุดท้ายแบบนี้ ผมก็เดือดร้อนสิครับ”
ผู้บริหาร ธนาคารอึดอัดใจ “แค่ชะลอไว้ก่อนแต่ไม่ได้ระงับนะครับ”
“แล้วจะชะลอไปถึงเมื่อไหร่ครับ”
“ผมก็ทราบเท่าที่บอกคุณไปนั่นล่ะครับ เอาไว้มีอะไรคืบหน้า ผมจะรีบโทรบอกละกันนะครับ ขอตัวนะครับ”
ผู้บริหารรีบชิ่งหนีไปด้วยความลำบากใจ ลาภิณยืนหัวเสียอยู่ลำพัง
ทันใดนั้น ปริมก็เดินยิ้มแย้มเข้ามาหาลาภิณ
ปริมปั้นยิ้ม “บังเอิญจังเลยนะคะคุณต้น มาทำอะไรที่นี่เหรอคะ”
ลาภิณเจอปริมก็ยิ่งหงุดหงิดเลยเดินเลี่ยงไปเพราะไม่อยากคุยด้วย
ปริมพูดตามหลัง “น่าเสียดายนะคะ คุณอุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจทำโปรเจ็คนี้ แต่กลับมาตกม้าตายเอาตอนจบ” ปริมขำ
ลาภิณหันกลับมาสวนทันทีด้วยความโมโห เขาเดินตรงเข้าไปกระชากแขนปริม “ฝีมือคุณใช่มั้ย”
ปริมกระชากมือลาภิณออกด้วยสีหน้าเชิดหยิ่ง
ลาภิณจ้องหน้าด้วยความเจ็บใจ “ผมลืมไปสนิทเลยว่าพ่อคุณเป็นเพื่อนรักกับเจ้าของที่นี่ สะใจคุณแล้วใช่มั้ย ที่หาทางกลั่นแกล้งผมได้”
“ปริมไม่ได้ทำเพื่อความสะใจหรอกค่ะ แต่ปริมต้องการแสดงให้คุณเห็น ว่าผู้หญิงคนไหนที่เหมาะสมจะยืนเคียงข้างคุณมากกว่ากัน ปริมสามารถช่วยเรื่องธุรกิจแล้วก็เป็นหน้าเป็นตาให้คุณได้ ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้น ทำได้ดีที่สุดก็แค่ฉีดฟอร์มาลีนกับแต่งหน้าศพ” ปริมทำสีหน้าดูถูก
“ขอบใจมากนะปริมที่ทำให้ผมตาสว่าง จากนี้ไปเราก็ไม่เหลืออะไรติดค้างกันอีกแล้วล่ะ”
ลาภิณจ้องปริมเขม็งก่อนจะเดินเลี่ยงไป ปริมทำหน้าไม่แคร์แต่พอลาภิณเดินผ่านไปเธอก็แอบน้ำตาคลอออกมา

ตอนค่ำ ทวีกำลังทำความสะอาดเตียงทำศพและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ อย่างใช้ความคิด
จู่ๆ คำพูดของเจติยาและลาภิณก็ย้อนกลับมาในหัว
“เค้าเหมือนมีพลังจิตหรือคาถาอาคมอะไรซักอย่าง” เสียงเจติยาพูด
“แต่เรื่องที่เธอเล่าว่าเธอจับตัวเค้าแล้วไฟลุกอะไรเนี่ย แน่ใจนะว่าไม่ได้ฝันไป” เสียงลาภิณถาม
ทวีหยุดกึกเพื่อย้อนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมา

20 ปีที่แล้ว ทวีโยนกล่องรากบุญลงไปในหลุมดินที่เพิ่งขุดเสร็จก่อนจะใช้จอบเกลี่ยดินกลบฝังกล่องรากบุญ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคนดังขึ้นที่ด้านหลัง
“ทำแบบนี้ทำไม”
ทวีตกใจ รีบหันกลับไปมองก็เห็นปราณยืนอยู่ข้างหลัง
ทวีตกใจ “คุณเป็นใคร มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ปราณไม่พอใจ “ฉันถามว่าทำกับกล่องรากบุญแบบนี้ทำไม”
ทวีตกใจมาก “คุณรู้จักกล่องนี่ด้วยเหรอ”
ปราณตะคอก “ฉันบอกให้ตอบมา”
ทวีชักกลัว “ผมกลัวมัน ผมไม่รู้ว่าผมจะต้องตายเพราะมันวันไหน แล้วผมก็ไม่มีอะไรจะขอจากมันอีกแล้ว ผมเลยตัดสินใจฝังมันซะ จะได้จบๆ กันไป”
ปราณตวาด “ไอ้ขี้ขลาด” ปราณชี้หน้าทวี “คนอย่างแก มันไม่คู่ควรที่จะเป็นเจ้าของกล่องรากบุญ หาเจ้าของใหม่ให้กล่องซะ แล้วไปให้พ้น”
ปราณตะคอกใส่ทวี ทวีกลัวจนต้องผงะถอยทำให้ขาไปสะดุดอะไรบางอย่างจนหกล้มก้นจ้ำเบ้า พอหันไปมองทวีก็ต้องตกใจสุดๆ เพราะสิ่งที่สะดุดคือกล่องรากบุญที่เขาเพิ่งฝังดินไปเมื่อครู่ ที่อยู่ๆ ก็กลับขึ้นมาอยู่บนดินได้ ทวีหันกลับไปก็ไม่เห็นปราณแล้ว

พอคิดทบทวนเรื่องราวในอดีตทวีก็ชักเอะใจ เขาขยับตัวยืดจนรู้สึกว่ามีชายสวมเสื้อสีดำมายืนอยู่ข้างๆ ทวีหันขวับไปมองก็เห็นว่าเป็นโอ้เอ้ที่ใส่เสื้อยืดสีดำยืนยิ้มอยู่
ทวีตกใจมากจึงด่าออกไป “ไอ้โอ้เอ้ มาเงียบๆ”
“ก็ไม่เงียบนะลุง”
“ถ้าฉันหัวใจวายตาย จะมาหักคอแกเอาไปอยู่ด้วยกัน..”
“โหลุง กล้าพูดในห้องนี้เลยเหรอ” โอ้เอ้กวาดตามองอย่างหวาดๆ
“เอ็งมาก็ดีแล้ว มาช่วยกันทำความสะอาดเร็วๆ เลย เดี๋ยวจะมีศพเข้า”
โอ้เอ้และทวีช่วยกันทำความสะอาด สักพักโอ้เอ้ก็ทำเครื่องมือตกพื้น
ทวีดุ พร้อมทำความสะอาดไปด้วย “เก็บขึ้นมาทำความสะอาดใหม่เลย มาช่วยให้เร็วรึถ่วงให้ช้าวะเนี่ย”
โอ้เอ้ก้มลงไปเก็บเครื่องมือใกล้ๆ กับเท้าเปล่าของผู้ชายที่ยืนอยู่คนหนึ่งแต่โอ้เอ้ไม่เห็นจึงหยิบเครื่องมือขึ้นมาทำความสะอาดใหม่
ชายคนที่ยืนอยู่ก็คือปราณที่กำลังจ้องเขม็งมาที่ทวีด้วยสีหน้าระแวงระวัง

พิสัยกำลังคุยโทรศัพท์มือถือด้วยความโมโหอยู่ในห้องพักคอนโดของเขา
“ทีคุณขออะไร ผมเคยปฏิเสธบ้างมั้ย พอผมมีเรื่องเดือดร้อน จะทิ้งกันง่ายๆ ยังงี้เหรอ”
เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังแว่วออกมาจากโทรศัพท์มือถือของพิสัย
“ไม่ใช่ผมไม่อยากช่วยคุณ แต่มันมีหลักฐานเป็นดีเอ็นเอของคุณ ขืนผมช่วยคุณต่อ ผมก็ซวยไปด้วยน่ะสิ”
พิสัยคุยมือถืออย่างงงๆ “ดีเอ็นเออะไร ผมไม่เห็นรู้เรื่อง”
“ผมก็เพิ่งรู้เมื่อเช้าเหมือนกัน ที่เล็บของศพคุณชูจิตมีเศษเนื้อติดอยู่ พอเอาไปพิสูจน์ดีเอ็นเอแล้วมันตรงกับดีเอ็นเอของคุณ คราวนี้คุณดิ้นไม่หลุดแน่ๆคุณพิสัย”
พิสัยตกใจสุดๆ และพยายามตั้งสติ “แล้วมันเอาเลือดผมไปตรวจดีเอ็นเอได้ยังไง” พิสัยฉุกคิด

พิสัยนึกถึงตอนที่หลังแขนและข้อศอกของเขาครูดไปกับพื้นถนนเป็นทาง กล่องรากบุญตกอยู่กับพื้น เจติยาวิ่งตามมาและแสดงท่าทางดีใจมากกว่าห่วง
“เลือด”
เจติยารีบเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่เตรียมไว้มาซับเลือดให้พิสัย พร้อมอมยิ้มพอใจ
เจติยาทำเป็นห่วง “เจ็บมากมั้ยคะ” เจติยาแอบอมยิ้มพอใจที่ซับเลือดไปได้ปื้นใหญ่

เมื่อนึกขึ้นมาได้ พิสัยก็มีสีหน้าเจ็บใจมาก แต่ปลายสายวางสายไปแล้ว
พิสัยตกใจ รีบพูดกลับไป “ฮัลโหลๆ” พิสัยโมโหมาก “ไอ้บ้าเอ๊ย” พิสัยมองไปรอบๆ “ปราณ แกมีพลังจิตไม่ใช่เหรอ ได้ยินที่ฉันพูดมั้ย มาช่วยฉันหน่อยสิ”
ทันใดนั้นเสียงปราณก็ดังลั่น “หนีไปเดี๋ยวนี้”
พิสัยตกใจจนหน้าซีดเผือด

รถตำรวจ 2 คันขับมาจอดที่หน้าคอนโดพิสัย นวัชและตำรวจอีกจำนวนหนึ่งลงมาจากรถ

พิสัยรีบตรงไปที่โต๊ะแล้วหยิบปืนกับเงินสดจำนวนหนึ่ง กระเป๋าหนังใส่ของและเอกสารปลอมที่ไว้หลบหนีออกมาอย่างรีบร้อน

นวัชนำตำรวจจำนวนหนึ่งกับพนักงานของคอนโดออกจากลิฟท์ แล้วเดินตรงไปที่ห้องพักของพิสัย

พิสัยวิ่งหนีลงบันไดหนีไฟอย่างเร่งรีบ

นวัชพังประตูห้องพักพิสัยจนเปิดแล้วนำตำรวจกับพนักงานเข้ามาในห้อง
นวัชสั่งตำรวจ “ค้นดูให้ทั่ว”
ตำรวจกระจายกันค้นห้องพิสัย
นวัชหันไปคุยกับพนักงาน “แน่ใจนะครับ ว่าวันนี้คุณพิสัยยังไม่ได้ออกไปข้างนอก”
“แน่ใจค่ะ เมื่อซักพักนี่ยังโทรลงไปสั่งอาหารเช้าขึ้นมาทานบนห้องเลยค่ะ”
นวัชเจ็บใจ “นกรู้จริงๆ” นวัชหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาเพื่อโทรสั่งการ

พิสัยเดินลงมาถึงชั้นล่างก็เห็นตำรวจสองคนยืนคุมเชิงอยู่ห่างออกไปไม่มาก โดยที่คนหนึ่งกำลังคุยวิทยุสื่อสารอยู่ พิสัยกลัวจึงรีบเดินหนีหลบไปทางด้านหลังทันที พอคุยวิทยุสื่อสารกับนวัชเสร็จ ตำรวจทั้งสองนายก็แยกย้ายกันตามหาพิสัยทันที

นิษฐาขับรถพาเจติยามาตามริมถนนเพื่อจะไปคอนโดพิสัย
“แกจะมาทำไมก็ไม่รู้” นิษฐาว่า
“ฉันอยากเห็นพี่หมวดจับนายพิสัยกับตาตัวเอง จะได้มั่นใจว่าฉันทำงานสำเร็จ” เจติยาบอก
นิษฐางงเล็กน้อยแต่ไม่ติดใจ “ป่านนี้จับกลับไปโรงพักแล้วมั้ง”
“ก็เพราะแกนั่นแหละ ชักช้าอยู่ได้”
นิษฐาเพ่งมองตรงไปข้างหน้า
“เจ...นั่นคุณพิสัยใช่มั้ย” นิษฐาชี้ไปข้างหน้า
เจติยามองตรงไปที่ข้างทางเห็นพิสัยกำลังรีบร้อนขึ้นแท็กซี่ไปอย่างลุกลน
“ใช่จริงๆ ด้วย รีบตามไปเร็วฐา ฉันโทรบอกพี่หมวดก่อน”
นิษฐาขับรถตามแท็กซี่ไป เจติยาโทรศัพท์หานวัชพร้อมหันไปมองทางคอนโดพิสัยที่ตำรวจกำลังแยกย้ายกันค้นหาพิสัยตามรถและใต้ตึกอยู่

พิสัยลงจากรถแท็กซี่ แล้วเดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งที่เป็นบ้านเดี่ยวในหมู่บ้าน แท็กซี่วิ่งกลับออกไป นิษฐาและเจติยาจอดรถซุ่มดูอยู่ โดยเจติยากำลังโทรหานวัชไปด้วย
นิษฐามองตามพิสัย ก่อนจะหันมาคุยกับเจติยา “เข้าไปข้างในแล้วแก มันต้องใช้ที่นี่เป็นที่กบดานแน่ๆ”
เจติยาหงุดหงิด “พี่หมวดไม่รับสายเลย” เจติยากดตัดสายแล้วเพ่งมองไป
“เอาไงดี”
เจติยาคิดอยู่อึดใจก่อนตอบ “ฉันว่าหลบก่อนดีกว่า เราแค่สองคนทำอะไรมันไม่ได้หรอก อย่างน้อยเราก็รู้ที่ซ่อนตัวมันแล้ว”
“แกรีบโทรหาพี่หมวดให้ได้เถอะ ฉันจะโทรไปที่โรงพักเอง”
จังหวะที่นิษฐาและเจติยากำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์ก็เกิดเสียงทุบกระโปรงหน้ารถดังโครม เจติยาและนิษฐาสะดุ้งสุดตัว ทั้งสองเงยหน้ามองก็ตกใจแทบช็อคเมื่อเห็นพิสัยทำหน้าตาดุดันกำลังเล็งปืนมาหาทั้งคู่อยู่หน้ารถ เจติยาและนิษฐาหันมาสบตากันด้วยใบหน้าซีดเผือด

นทีกำลังช่วยมยุรีขายของที่ร้านข้าวแกงหน้าตลาด สักพักนวัชก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดเทียบหน้าร้านก่อนจะลงจากรถมายกมือไหว้มยุรี
“แวะมาทานข้าวเหรอครับพี่หมวด” นทีถาม
“พี่ทานแล้ว เจล่ะ” นวัชถามกลับ
“ไปทำงานนี่คะ” มยุรีตอบ
“ผมไปมาแล้ว ลุงทวีบอกเจเข้าเวรเย็นนะครับ”
“สงสัยไปกับพี่ฐาแน่ๆ เลย ทำไมพี่หมวดไม่โทรเข้ามือถือล่ะครับ” นทีแนะ
“ปิดเครื่องทั้งคู่เลย”
“อ้าว...” มยุรีงง
นทียิ้มๆ “งั้นก็แอบไปดูหนังกันชัวร์”
“แต่เจมิสคอลล์พี่ไว้หลายครั้งเลยนะ พี่ทำงานอยู่เลยปิดเครื่องเอาไว้” นวัชมีสีหน้าเป็นห่วง “หวังว่าคงไม่มีเรื่องอะไรอีกนะครับ”
ทุกคนอึ้งๆ กันไปเพราะอดเป็นห่วงเจติยากับนิษฐาไม่ได้

เจติยาและ นิษฐาถูกมัดติดกันไว้กลางโถงบ้าน ทั้งคู่พยายามดิ้นแต่ก็ไม่สำเร็จ พิสัยกำลัง
คุยโทรศัพท์มือถือด้วยความหงุดหงิด
“ใช่ๆ ถึงตรงนั้นแล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้ามาเลย เร็วๆ เข้าล่ะ ฉันต้องการคนช่วย”
พิสัยกดวางสายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ถึงเรียกลูกน้องมาช่วย แกก็ไม่รอดอยู่ดี เดี๋ยวพี่หมวดก็พาตำรวจมาจับแกเข้าคุก” นิษฐาบอก
พิสัยโมโห “ก็มาสิ กล้ามาจับฉัน ฉันจะยิงพวกแกทิ้งทีละตัวต่อหน้ามันเลย”
นิษฐาหน้าแหยไปด้วยความกลัว
เจติยาท้าทาย “ไม่ต้องกลัวหรอกฐา ถ้าเค้าอยากฆ่าพวกเราจริง คงฆ่าไปนานแล้ว ที่เค้าไม่ทำ เพราะอยากใช้พวกเราเป็นตัวประกันมากกว่า”
พิสัยแสยะยิ้ม “เพราะเธอฉลาดอย่างงี้นี่เอง ไอ้ต้นมันถึงได้ทิ้งปริมมาหาเธอ” พิสัยตรงเข้ามาบีบคอเจติยา “แต่คนฉลาดมักจะตายเร็ว โดยเฉพาะคนที่ใช้ความฉลาดมาเป็นศัตรูกับฉัน”
เจติยาโดนพิสัยบีบคอจนหายใจไม่ออก
นิษฐาตกใจ “ปล่อยเพื่อนฉันนะ”

อ่านละคร รากบุญ[2] วันที่ 3 ธ.ค. 55

รากบุญ บทประพันธ์ของ ช่อมณี จากบริษัท ทีวีซีน จำกัด
รากบุญ บทโทรทัศโดย เอกลิขิต
รากบุญกำกับการแสดงโดย ย้ง ธราธร
รากบุญ ผู้จัดโดย ปิ่น ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
ละครแนวลึกลับ สืบสวน ให้แง่คิดเรื่องความสุขแท้จริง บาปบุญ คุณโทษและคุณค่าของเวลา
ติดตามชมละครเรื่องรากบุญ ได้ทางไมยทีวีสีช่อง 3
ออกอากาศตอนแรก วันที่ 16 พฤศจิกายน 2555
ที่มา manager