@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 3 ธ.ค. 55

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 3 ธ.ค. 55

“ลุงว่าที่คุณพิสัยแคล้วคลาดมาได้ตลอด นายคนนี้อาจจะอยู่เบื้องหลังก็ได้ หนูเจต้องระวังตัวให้มากขึ้นนะ”
“ค่ะลุง”
ทวีนึกขึ้นได้ “เออ ตั้งแต่ลุงรู้จักกับกล่องรากบุญมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่วิญญาณมาขอความช่วยเหลือพร้อมกันสองเรื่องยังงี้เลยนะ ลุงว่ามันไม่ธรรมดาแล้วล่ะ”
“อาจจะเป็นเพราะมีเป้าหมายเดียวกันก็ได้มั้งคะลุง ทั้งคุณท่านกะปองย้งก็ต้องการจัดการกับคุณพิสัยทั้งนั้น”
ทวีพยักหน้ารับ “ก็เป็นไปได้นะ” ทวีสงสัย “แล้วถ้าหนูเจทำตามคำร้องขอได้ครั้งนี้ จะได้ดาวทุกข์ทีเดียวพร้อมกันสองดวงเลยรึเปล่าก็ไม่รู้นะ”
เจติยาอึ้งไปเพราะเธอก็ไม่ทันได้คิดเหมือนกัน

เจติยากำลังคุยกับนวัชและนิษฐาอยู่ที่โซฟารับแขกบ้านนวัชในช่วงบ่ายวันใหม่
นวัชเล่าให้ทุกคนฟัง “คุณชูจิตคงจะต่อสู้ จนจิกเล็บเข้าไปในตัวคนร้าย ทำให้เศษเนื้อเยื่อติดอยู่ในเล็บ หลักฐานชิ้นนี้ถือว่าสำคัญมาก”
“ถ้าเราพิสูจน์ดีเอ็นเอได้ก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาแล้วนะเจ” นิษฐาบอก
เจติยาดีใจมากจึงพึมพำออกมาเบาๆ “นี่เองที่คุณท่านบอก”



“เจว่าอะไรนะ”
เจติยารีบเปลี่ยนเรื่อง “ไม่มีอะไรหรอก เออ แล้วเรื่องนทีมีความคืบหน้าบ้างรึยังคะพี่หมวด”
“พี่กำลังให้ลูกน้องช่วยตามจับพนักงานที่หลอกนทีส่งยาบ้าอยู่ ถ้ามีตัวตนจริง พี่ว่าน่าจะพอหาตัวได้ไม่ยาก”
“ฐาเชื่อว่านทีไม่ได้โกหกหรอกค่ะ ขอให้หาตัวเจอทีเถอะ สงสารน้อง”
มยุรีเดินหน้าตาตื่นเข้ามาตามทุกคน
“เจ นทีหายไปไหนก็ไม่รู้ เก็บเสื้อผ้าไปหมดเลย น้องต้องหนีไปแน่ๆ” มยุรีหน้ามืด
“แม่” เจติยารีบวิ่งไปประคอง
ทุกคนตามไปช่วยด้วยความตกใจ

ลาภิณขับรถมาหาเจติยา เมื่อขับมาถึงหน้าปากซอยเขาก็เห็นนทีกำลังสะพายเป้ใหญ่ และถือกระเป๋าผ้าใส่ของ สวมหมวกแก๊ป รอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ลาภิณจำได้ก็ปาดรถเข้าเทียบทันที นทีเงยหน้ามองด้วยความตกใจ
ลาภิณกดกระจกลงแล้วถาม “จะไปไหนนที”
นทีตัดสินใจวิ่งเตลิดหนีเข้าซอยถัดไปทันที
ลาภิณงงแต่คิดว่าไม่ดีแน่จึงถอยรถอย่างเร็วให้พ้นป้ายรถเมล์แล้วจอดรถพร้อมเปิดไฟฉุกเฉิน ก่อนจะวิ่งลงจากรถพร้อมกดรีโมทล็อค แล้ววิ่งกวดตามนทีไป นทีหันมามองแล้วก็พยายามวิ่งหนีแต่ไม่ถึงไหนเพราะสัมภาระเยอะ ลาภิณวิ่งกวดไปจนทันแล้วคว้าตัวนทีเอาไว้ได้
นทีเจ็บใจ “ปล่อยผม”
ลาภิณล็อคตัวนทีไว้แน่นจนนทีหนีไม่ได้ นทีเซ็งมาก

นทีนั่งจ๋องอยู่ข้างๆ สัมภาระที่เก้าอี้นั่งเล่นในสวนสาธารณะหลังจากระบายความในใจกับลาภิณจนหมด ลาภิณเดินตามมานั่งข้างๆ
“งั้นพี่จะเล่าเรื่องของพี่ให้ฟังมั่ง” ลาภิณบอก
นทีชำเลืองมองลาภิณเล็กน้อย
ลาภิณหน้าขรึมลง “ตั้งแต่พี่จำความได้ พี่ก็ถูกเปรียบเทียบกับน้าพิสัยมาตลอดเหมือนกัน ไม่ว่าจะเรื่องเรียน กีฬา เรื่องงาน”
นทีไม่เข้าใจ “น้ากับหลานจะเอามาเปรียบเทียบกันทำไม”
“เราอายุไม่ต่างกันเท่าไหร่ แล้วแม่พี่ก็เลี้ยงเค้าเหมือนลูกอีกคน จริงๆ พี่กับเค้าก็ไม่ต่างกับพี่น้องกันซะเท่าไหร่หรอก”
นทีพยักหน้ารับ “แล้วไงต่อครับ”
“น้าพิสัยเค้าทำทุกอย่างได้ดีกว่าพี่มาตลอด”
“เหมือนผมกับพี่เจเลย”
“ใช่ พี่ถึงบอกว่าเราหัวอกเดียวกันไง จะฟังต่อมั้ย”
นทีพยักหน้ารับ
“พี่อดที่จะรู้สึกไม่ได้ ว่าตัวเองเป็นแค่คนห่วยๆ ทำอะไรก็ล้มเหลวไปซะหมด”
นทีถามด้วยสีหน้าเข้าใจและเห็นใจ “แล้วพี่ทำยังไงให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นล่ะครับ”
ลาภิณถอนหายใจออกมา “ที่จริงพี่ก็เป๋ไปอยู่พักใหญ่นะ แต่พอคุณพ่อเสีย พี่ก็เริ่มคิดได้ ถ้าพี่ยังดูถูกตัวเองต่อไป ก็มีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปเรื่อยๆ”
นทีคิดตาม
“ทางเดียวที่จะแก้ปมนี้ให้ได้ ก็คือพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็น ว่าพี่ไม่ใช่คนห่วยแตกอย่างที่เค้าคิด”
นทียิ้มๆ “พี่ไม่ใช่ซะหน่อย ผมว่าพี่เป็นคนเก่งแล้วก็เท่ด้วย ผมยังอยากเป็นแบบพี่เลย”
ลาภิณยิ้มๆ “ขอบใจมาก”
“ผมพูดจริงนะครับ ไม่ได้ยอ”
ลาภิณหน้าเศร้าลง “แต่ถึงพี่จะพิสูจน์ตัวเองได้ ตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่ชื่นชมแล้ว พี่ไม่เหลือทั้งพ่อทั้งแม่ ไม่มีใครซักคน”
นทีเห็นใจและเงียบไปอย่างใช้ความคิด
ลาภิณพยักหน้ารับแล้วตบบ่านที “แต่เรายังมีแม่ ยังมีพี่เจคอยสนับสนุน คอยรอดูความสำเร็จอยู่นะ”
นทีชักคล้อยตามจึงอึ้งไป
ลาภิณมองหน้านที “เรายังมีเวลาแก้ไขนะนที ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อไหร่เราจะเลิกดูถูกตัวเองได้ซะที อย่าให้คิดได้ช้าเกินไปเหมือนพี่อีกคนล่ะ”
นทีมองหน้าลาภิณอย่างเข้าใจความรู้สึก
“ไม่มีอะไรจะทำให้เราภาคภูมิใจ ได้เท่ากับ เวลาที่เราเห็นพ่อกับแม่ภูมิใจในตัวเราหรอกนะนที”
นทีเงียบไปแล้วคิดตามที่ลาภิณพูด ลาภิณลุ้นว่านทีจะรับฟังตนแล้วยอมกลับบ้านหรือเปล่า

มยุรีนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โซฟาบ้านเจติยาโดยมีนิษฐาคอยบีบนวด มยุรีมองไปที่เจติยาที่กำลังโทรไปตามบ้านเพื่อนๆ ของนทีด้วยสีหน้าเครียดๆอยู่ที่มุมห้อง มยุรีหันมองไปอีกมุมก็เห็นนวัชกำลังคุยโทรศัพท์สอบถามจากเพื่อนฝูงอยู่
มยุรีเสียใจ “ทำไมนทีต้องสร้างความวุ่นวายไม่รู้จักจบจักสิ้นซะทีนะ”
“ก็ต้องรอให้พ้นวัยนี้ไปก่อนล่ะค่ะคุณแม่ เด็กที่มูลนิธิแสบยิ่งกว่านี้เยอะค่ะ” นิษฐาบอก
มยุรีถอนใจออกมา ทันใดนั้น
ลาภิณก็เดินเข้ามาที่โถงบ้าน
“ขอโทษที่เข้ามาโดยพลการนะครับ” ลาภิณยิ้มแย้ม
ทุกคนหันไปมองลาภิณด้วยสีหน้าแปลกใจ
ลาภิณยิ้ม “ผมพาเด็กหลงทางกลับมาส่งบ้านครับ” ลาภิณหันมองไปทางหน้าบ้าน
นทีเดินหน้าจ๋อยๆ เข้ามาในบ้าน
มยุรีดีใจมากจนน้ำตาท่วม “นที” นทีรีบลุกไปกอดลูกชายทันที
นทีพูดด้วยสีหน้าเสียใจ “ผมขอโทษครับแม่”
นทีหลับตากอดแม่เอาไว้แน่นด้วยความรู้สึกผิด ลาภิณมองดูสองแม่ลูกแล้วก็ยิ้มดีใจไปด้วยก่อนจะหันมองไปทางเจติยา ลาภิณกับเจติยายิ้มให้กันด้วยความรู้สึกดีๆ นิษฐาชำเลืองมองหน้านวัชที่นิ่งๆ ไปก่อนที่นวัชจะยิ้มคืนมาให้นิษฐา

เช้าวันใหม่ เจติยากำลังใช้ผ้าสะอาดเช็ดโถใส่กระดูกของชูจิตเพื่อเตรียมจะเอาไปลอยอังคาร สักพักปริมก็เดินเข้ามาในโถงบ้าน พอเห็นเจติยา ปริมก็ชักสีหน้าไม่พอใจทันที
เจติยาวางโถลงบนโต๊ะ แล้วหันไปไหว้ปริม “สวัสดีค่ะคุณปริม”
ปริมถามเสียงแข็ง “เธอมาที่นี่ทำไม”
“คุณลาภิณให้มาช่วยงานค่ะ”
ปริมจ้องหน้าด้วยความไม่เชื่อ “เหรอ...” ปริมพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “นอนบ้านเศรษฐีหลับสบายดีมั้ยล่ะ”
เจติยาพยายามสงบสติอารมณ์ “ไม่ทราบค่ะ ต้องไปถามคุณลาภิณ” เจติยาจะเดินหนีเพราะไม่อยากมีเรื่อง
ปริมอึ้งก่อนจะเดินไปกระชากไหล่เจติยา “เธอพูดยังงี้หมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความอย่างที่พูด”
“เธอจะกวนประสาทฉันใช่มั้ย” ปริมถาม
“เปล่าค่ะ ก็คุณถามว่าบ้านนี้นอนสบายมั้ยก็ต้องไปถามคุณต้นเอาเอง เพราะฉันไม่เคยนอนค้างที่อื่นนอกจากบ้านตัวเอง”
ปริมยิ้มกวนๆ “อ๋อ ชั่วคราว ไม่ค้างคืนว่างั้นเถอะ”
เจติยารู้นัย “คุณปริม”
ทันใดนั้นเสียงลาภิณก็ดังขึ้น “ไม่มีผู้หญิงคนไหนเคยค้างบ้านนี้ทั้งนั้นล่ะ”
ทั้งสองคนหันไปมอง ลาภิณเดินหน้าบึ้งๆ ลงบันไดมา
ลาภิณจ้องหน้าปริม “ผมสงวนสิทธิ์ไว้ให้เจ้าสาวของผมคนเดียว”
ปริมเสียงแข็ง “ซึ่งไม่ใช่มันแน่ๆ” ปริมจ้องหน้าเจติยา
ลาภิณพูดตอบสั้นๆ “ครับ”
ปริมยิ้มหยันอย่างสะใจ
“ถ้าเจเค้าปฏิเสธ” ลาภิณพูดต่อ
ทั้งเจติยาและปริมต่างอึ้งกับคำพูดของลาภิณ
“ไปเจ เดี๋ยวจะสาย” ลาภิณเดินไปยกโถใส่กระดูกแล้วจะเดินนำออกไปจากบ้าน
ปริมมีสีหน้าเจ็บแค้นมาก เธอผลักเจติยาที่อยู่ใกล้ๆ จนกระเด็น
ปริมเจ็บช้ำมาก “คุณจะทำกับปริมยังงี้ไม่ได้” ปริมพุ่งเข้าไปฟาดลาภิณเต็มแรงไม่ยั้ง ลาภิณไม่ทันระวังตัว ด้วยแรงกระแทกจึงทำให้โถหลุดออกจากมือที่จับอยู่อย่างหลวมๆ ทั้งลาภิณและเจติยาต่างก็ตกใจมาก
ลาภิณอาศัยความไวปาดมือไปจับแต่ก็ไม่ทันทำให้โถกระดูกตกพื้นแล้วแตกกระจายอย่างแรงท่ามกลางความตกใจของทุกคน
ลาภิณโกรธจัดจึงอาละวาดใส่ปริม “ทำอะไรของคุณ”
ปริมหน้าแหย “ปริมขอโทษ”
ลาภิณสวนทันที “ผมไม่รับคำขอโทษ คุณเลิกสร้างความวุ่นวายให้ชีวิตผมซะทีจะได้มั้ย”
ปริมน้ำตาคลอ “คุณต้น”
“ต่อไปอย่ามาที่นี่อีก จะต้องให้บอกซักกี่ครั้ง ว่าบ้านนี้ไม่ต้อนรับคุณแล้ว”
ปริมถึงกับน้ำตาท่วมตาด้วยความช้ำใจมาก
ลาภิณตวาดเสียงดัง “ไปซิ”
ปริมหันไปมองทางเจติยาที่มองมาทางเธอด้วยสีหน้านิ่งๆ แล้วก็ยิ่งเจ็บใจที่สุด ปริมเดินฉับๆ ออกไปอย่างหัวเสีย พอปริมเดินออกไป เจติยาถึงค่อยมานั่งคุกเข่าแล้วยกมือไหว้ก่อนจะเก็บกระดูกที่กระจายออกมาเล็กน้อยใส่ห่อผ้าขาว ลาภิณเข้าไปช่วย
“ระวังเศษกระเบื้องบาดนะเจ” ลาภิณฉวยหนังสือพิมพ์มาแล้วช่วยเก็บเศษกระเบื้องชิ้นใหญ่ๆออกมาใส่หนังสือพิมพ์ไว้ก่อน
“ระวังเหยียบเถ้ากระดูกคุณท่านด้วยค่ะ” เจติยาเตือน
ปริมหยุดยืนที่หน้าประตูโถงแล้วหันไปมองทั้ง 2 คนช่วยกันหากันเก็บเถ้ากระดูกใส่ห่อผ้าขาวแล้วก็ยิ่งเจ็บแค้นใจจนทนดูไม่ได้

ปริมเดินฉับๆ ด้วยความแค้นใจเข้ามานั่งในรถแล้วก็ปิดประตูดังโครม ปริมกำมือแน่นแล้วทุบพวงมาลัยรถโครมๆๆ ก่อนจะแผดเสียงร้องออกมาอย่างระบายความกดดันพร้อมกับร้องไห้ออกมา

เจติยาที่ถือถุงผ้าขาวห่อเถ้ากระดูกไว้ในมือกำลังคุมสาวใช้กวาดเศษกระเบื้องพร้อมกับเช็คดูให้แน่ว่าไม่มีเถ้ากระดูกหลงเหลืออยู่ที่พื้นแล้ว เจติยาอดนึกถึงคำพูดลาภิณเมื่อครู่ไม่ได้
“ไม่มีผู้หญิงคนไหนเคยค้างบ้านนี้ทั้งนั้นล่ะ ผมสงวนสิทธิ์ไว้ให้เจ้าสาวของผมคนเดียว”
เสียงปริมค้าน “ซึ่งไม่ใช่มันแน่ๆ”
“ครับ ถ้าเจเค้าปฏิเสธ” เสียงลาภิณพูดต่อ
สักพักลาภิณก็ถือโถใบใหม่เดินเข้ามาหา
“ได้แล้วครับ”
เจติยาสะดุ้งหลุดจากความคิด สาวใช้กวาดขยะแล้วโกยไปทิ้งทางหลังบ้าน ลาภิณเอาโถมาวางที่โต๊ะกลางโซฟา
เจติยาเดินถือห่อผ้าไปใส่โถใบใหม่ “คิดว่าครบแล้วนะคะ”
ลาภิณจับตามองเจติยาที่บรรจงเก็บผ้าขาวห่อเถ้ากระดูกใส่โถใบใหม่ไม่วางตา
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” เจติยาเหลือบตาเห็นลาภิณที่จับตามองอยู่ก็สะท้านไปเหมือนกัน จึงไม่กล้าสบตาต่อ
“ขอบคุณมากนะเจ” ลาภิณกล่าว
เจติยาปั้นยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ต้องขอบคุณคุณเหมือนกันที่ช่วยพูดแก้สถานการณ์กับคุณปริมให้”
ลาภิณยิ้ม “ฉันพูดสร้างโอกาสให้ตัวเองมากกว่า”
เจติยาอึ้งไป
ลาภิณจ้องตาเจติยาแล้วพูดยิ้มๆ “ก็อยากให้เป็นอย่างที่พูดนะ ไม่รู้จะเป็นจริงได้แค่ไหน” ลาภิณยักไหล่ แล้วยิ้มๆ
เจติยาเขิน “ฉันไปรอที่รถนะคะ” เจติยารีบเดินเลี่ยงออกไปทันที
ลาภิณยิ้มๆ แล้วพูดกับโถกระดูก “ช่วยผมด้วยนะครับแม่”
ลาภิณถือโถกระดูกเดินออกไป วิญญาณชูจิตยืนมองเขาอยู่พร้อมกับส่งยิ้มเย็นๆ ให้ลูกชาย

ลาภิณขับรถที่มีเจติยานั่งมาจอดที่หน้าร้านอาหารติดถนนแห่งหนึ่ง
“ขอบคุณค่ะ”
“ขอบใจเธอมากที่ไปลอยอังคารคุณแม่ด้วยกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เจติยาปั้นยิ้มแบบไม่ค่อยกล้าสู้หน้านักแล้วจะลงไปจากรถ
“เย็นนี้ไปทานข้าวกันมั้ย” ลาภิณทำสายตาอ้อนวอน
เจติยาชะงักไปเล็กน้อย เธอสบตาลาภิณแล้วรีบหลบตา
ลาภิณมีสีหน้าเศร้าๆ “ผมไม่อยากกลับบ้านเร็ว แล้วผมก็ไม่รู้จะไปกินข้าวกับใคร”
เจติยาอึกอักลังเล
“ไม่เป็นไรหรอก เธอคงจะเบื่อ” ลาภิณจ๋อยๆพร้อมยกมือลา
เจติยาเห็นใจ “เอางี้แล้วกัน ถ้าว่างฉันจะโทรหาคุณอีกที”
ลาภิณค่อยยิ้มออก “ฉันจะรอโทรศัพท์” ลาภิณจ้องตาเจติยานิ่งพร้อมส่งสายตาอ้อนวอน

เจติยาฝืนยิ้มเขินๆ แล้วปิดประตูรถก่อนจะรีบเดินเข้าร้านไปด้วยท่าทีที่ยังรับมือไม่ถูกกับความรู้สึกที่พัฒนาไปเร็วกว่าที่คิด ลาภิณมองตามเจติยาแล้วยิ้มมีความหวังก่อนจะขับรถออกไป

เจติยากำลังคุยกับนวัช และนิษฐาอยู่ในร้านอาหาร
เจติยาดีใจ “เจอตัวแล้วเหรอคะพี่หมวด”
นวัชพยักหน้ารับ “ตอนนี้พี่กำลังให้ลูกน้องล้อมจับอยู่ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราน่าจะได้ตัว”
“เห็นมั้ย ฐาบอกแล้วว่านทีต้องไม่โกหก มีคนหลอกให้ส่งยาบ้าจริงๆด้วย” นิษฐารีบบอก
“พี่ว่านายคนนี้มันแค่ปลาซิวปลาสร้อย น่าจะมีตัวใหญ่อยู่เบื้องหลัง แต่พี่ไม่เข้าใจว่านายพิสัยจะแกล้งนทีไปทำไม”
เจติยาหน้าเครียด “แต่เจพอจะเข้าใจค่ะ...เจจะต้องหาทางพิสูจน์ดีเอ็นเอเค้าให้ได้ เพราะเจมั่นใจว่าเนื้อเยื่อที่พบในเล็บของคุณท่าน ต้องเป็นของคุณพิสัยแน่นอน”
นิษฐายังติดใจ “แล้วเจว่ามันต้องการอะไรกันแน่” นิษฐาเป็นห่วง “คงไม่ใช่ตัวแกหรอกนะ”
“ฉันไม่ใช่สเป็คมันหรอกย่ะ” เจติยารีบบอก
“แล้วอะไรล่ะ” นิษฐาสงสัย
เจติยาไม่ตอบแต่แอบอมยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมีแผนการ

กล่องรากบุญวางอยู่บนโต๊ะที่เจติยามานั่งรอพิสัยอยู่ เป็นโต๊ะมุมด้านในของร้านกาแฟเจติยาวางกล่องรากบุญไว้บนโต๊ะที่มีน้ำเย็นรินไว้สองแก้ว สักพักพิสัยก็เดินเข้าร้านมา เขายิ้มแย้มแล้วเข้ามาหาเจติยา
“เห็นเงียบไปนาน นึกว่าเธอจะไม่ติดต่อมาซะแล้ว” พิสัยว่า
เจติยายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดตัดบท “กล่องรากบุญที่คุณต้องการไงคะ คิดว่าคุณคงยังไม่เคยเห็นมันใช่มั้ย”
พิสัยนั่งลงแล้วหยิบกล่องรากบุญขึ้นมาดูด้วยดวงตาลุกวาวเพราะความโลภ “นี่น่ะเหรอะกล่องรากบุญ ก็เหมือนกล่องไม้แกะสลักทั่วๆไป ไม่น่าเชื่อว่ามันจะบันดาลได้ทุกอย่าง”
“คุณต้องทำตามที่วิญญาณขอร้องให้สำเร็จสามครั้งก่อนค่ะ ถึงจะขอพรได้ครั้งนึง” เจติยาบอก
“เรื่องเล็กน้อย อย่าว่าแต่สามครั้งเลย ร้อยครั้งแลกพรข้อนึงได้ฉันก็ยอม” พิสัยมองกล่องด้วยความละโมบ
เจติยาเห็นพิสัยกำลังตื่นเต้นไม่ทันระวังเลยหยิบเข็มขึ้นมาพร้อมกับใช้นิ้วหนีบไว้ไม่ให้พิสัยสังเกตเห็น เพราะกะจะใช้เข็มแทงพิสัยให้เลือดออกนิดหน่อยแล้วเอาเลือดไปตรวจดีเอ็นเอ
พิสัยยิ้มแบบรู้ทัน “เท่าที่ฉันรู้มา ได้กล่องมาอย่างเดียวยังไม่พอ เจ้าของเก่าต้องสละความเป็นเจ้าของด้วย ถูกต้องมั้ย”
เจติยาปั้นยิ้ม “รู้ละเอียดดีนี่คะ ฉันจะยอมสละความเป็นเจ้าของกล่อง ก็ต่อเมื่อแน่ใจว่านทีจะหมดปัญหาเรื่องคดีจริงๆ”
“ไม่ต้องห่วง เล่นงานนทีไป ฉันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรอยู่แล้วฉันจะช่วยให้การเพิ่มเติมว่าไอ้คนนั้นเป็นพนักงานเก่า ลาออกไปนานแล้ว ฉันเลยจำไม่ได้ นทีถูกหลอกใช้ โอเคมั้ย”
“ก็ดีค่ะ นทีพ้นคดีเมื่อไหร่ ฉันจะสละความเป็นเจ้าของกล่องให้คุณทันที” เจติยาจ้องหน้าพิสัย

นวัชและนิษฐานั่งอยู่ในรถของนิษฐาที่จอดซุ่มอยู่ในซอยข้างๆ ร้านกาแฟ
“เค้าจะทำอะไรเจมั้ยคะ” นิษฐาเป็นห่วงเพื่อน
“วันนี้เจจงใจไปทำร้ายเค้ามากกว่า” นวัชบอก
“ยังมีอารมณ์มาพูดเล่นอีก”
นวัชขำๆ “พี่พูดเรื่องจริง เจจะไปเอาเลือดเค้ามานะ”
นิษฐาเหยียดปากใส่พร้อมถอนใจออกมาด้วยความเป็นห่วงเพื่อน
นวัชเหลือบตามองนิษฐา “ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ พี่ไม่ปล่อยให้เพื่อนเราเป็นอันตรายหรอก” นวัชเลื่อนมือไปวางบนมือนิษฐาแล้วตบหลังมือนิษฐาเบาๆ
นิษฐาเหลือบตามองมือนวัชที่ประกบมือตนอยู่แล้วก็แอบอมยิ้มเขินๆ นวัชถอนมือกลับพร้อมทำไม่รู้ไม่ชี้มองไปทางร้านกาแฟแต่ก็แอบอมยิ้มนิดๆ

พิสัยลุกขึ้นยืน พร้อมพูด
“งั้นฉันเอากล่องนี่กลับไปเลยนะ”
เจติยามีสีหน้าลังเล
“จะลังเลอะไรอีก” พิสัยถาม
เจติยาถ่วงเวลาเตรียมเข็มหมุดไว้ในมือที่จะเช็คแฮนด์ส่วนอีกมือก็ถือผ้าเช็ดหน้าขาวเอาไว้
“ถ้าเธอไม่สละความเป็นเจ้าของให้ฉัน กล่องนี่ก็ไม่ต่างจากกล่องใส่ทิชชู่ ได้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร” พิสัยบอก
เจติยาลุกขึ้นยืนแล้วพูดหน้าตาย “ก็จริงค่ะ” เจติยาจ้องหน้า “ขอให้รักษาสัญญา” เจติยายื่นมือไปเช็คแฮนด์ เจติยางอนิ้วโป้งเพื่อจับเข็มหมุดเอาไว้ เธฮรอจังหวะเช็คแฮนด์หมายจะแทงให้เลือดออก พิสัยยิ้มๆ แล้วเลื่อนมือมาหาเจติยา เจติยามีสีหน้าลุ้นๆ เพราะกลัวพลาด ทันใดนั้นพิสัยก็ปาดมือขึ้นตบไหล่เจติยาแทน
“ไม่จำเป็นหรอก ฉันพูดคำไหนคำนั้น” พิสัยเดินถือกล่องรากบุญออกไป
เจติยาเจ็บใจมาก เธอมีสีหน้าใช้ความคิดแล้วรีบเดินตามออกไป

พิสัยเดินถือกล่องรากบุญกลับมาที่รถของเขาที่จอดอยู่ที่จอดรถ เจติยารวบรวมความกล้าเดินสะกดรอยตามออกมา
เจติยาบ่นพึมพำอย่างร้อนใจ “เอาไงดีเนี่ย จิกผมออกมาซักกระจุกดีมั้ย”
พิสัยเดินถึงรถและกำลังจะเปิดประตู
“เอาวะ”
เจติยาตัดสินใจวิ่งเข้าหาพิสัย จังหวะเดียวกันกับที่พิสัยเปิดประตูรถ ทันใดนั้นพิสัยก็เห็นศพชูจิตอยู่ที่นั่งคนขับ พิสัยถึงกับช็อค ศพชูจิตพลิกหน้าหันมามองทางพิสัยด้วยตาเบิกโพลง
พิสัยตกใจกลัวสุดชีวิต “พี่จิต” พิสัยดีดตัวหนีไปกระแทกประตูจนเสียหลักล้มไปกับพื้นทำให้หลังแขนและข้อศอกของพิสัยครูดไปกับพื้นถนนเป็นทาง ส่วนกล่องรากบุญตกอยู่กับพื้น เจติยาวิ่งตามมาถึง
เจติยาก้มไปมองที่แขนพิสัยแล้วก็ดีใจมาก “เลือด”
เจติยารีบเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่เตรียมไว้มาซับเลือดให้พิสัย พร้อมอมยิ้มพอใจ
เจติยาทำเป็นห่วง “เจ็บมากมั้ยคะ” เจติยาแอบอมยิ้มพอใจที่ซับเลือดไปได้ปื้นใหญ่
พิสัยกระชากแขนออกแล้วรีบไปหยิบกล่องรากบุญมาถือเอาไว้เพราะกลัวเจติยามาแย่งคืนไป
พิสัยกระชากแขนออก “เธอไปดูซิ ในรถมีใครมั้ย”
เจติยาชะโงกไปมองอย่างงงๆ
“ไม่มีใครนี่คะ”
“แน่ใจนะ”
“แล้วคุณจะให้มีใครล่ะ”
พิสัยชะโงกไปมองแบบกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ไม่เห็นใครจริงๆ พิสัยรีบเดินไปที่รถก่อนจะยกมือไหว้แล้วขึ้นรถไป เจติยางงๆ แต่ก็ยิ้มดีใจ เธอกำผ้าเช็ดหน้าขาวที่ซับเลือดพิสัยไว้แน่นแล้ววิ่งตะบึงออกไปจากลานจอดรถทันที

ปราณกำลังดูกล่องรากบุญด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยมีพิสัยกำลังทำแผลที่แขนของตนอยู่ในห้องที่คอนโด
ปราณมีสีหน้าครุ่นคิด “คนอย่างเจติยาไม่น่าจะยอมง่ายๆ มันต้องมีแผนการอะไรแน่ๆ”
“คิดมากน่า มันห่วงน้องชายมันมาก ไม่มีอะไรหรอก แต่ถ้ามันตุกติกไม่สละความเป็นเจ้าของกล่องขึ้นมา ฉันก็หยุดช่วยน้องชายมัน ปล่อยให้ติดคุกหัวโตก็เท่านั้น”
“อย่าประมาทเจติยาเกินไป ผู้หญิงคนนี้มีอะไรหลายอย่างที่คาดไม่ถึง”

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 3 ธ.ค. 55

รากบุญ บทประพันธ์ของ ช่อมณี จากบริษัท ทีวีซีน จำกัด
รากบุญ บทโทรทัศโดย เอกลิขิต
รากบุญกำกับการแสดงโดย ย้ง ธราธร
รากบุญ ผู้จัดโดย ปิ่น ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
ละครแนวลึกลับ สืบสวน ให้แง่คิดเรื่องความสุขแท้จริง บาปบุญ คุณโทษและคุณค่าของเวลา
ติดตามชมละครเรื่องรากบุญ ได้ทางไมยทีวีสีช่อง 3
ออกอากาศตอนแรก วันที่ 16 พฤศจิกายน 2555
ที่มา manager